มารู้จักสมุนไพร 6 ชนิดช่วยบำรุงสมองและต่อต้านการอักเสบกันเถอะ

การได้ลิ้มรสชาติของอาหารที่อร่อยถูกปากนับว่าเป็นเรื่องที่หลายๆ คนชื่นชอบ แต่คงดีกว่าแน่นอนหากรสชาติของสมุนไพรที่คุณโปรดปรานจะช่วยคุณรักษาโรคต่างๆ ได้! คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าสมุนไพรบางชนิด นอกจากจะเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารแล้ว มันยังมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ดีไม่แพ้กับการรับประทานยาเลยทีเดียว

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในรสชาติและกลิ่นอายของอาหารอินเดียแล้วล่ะก็ ขมิ้นชัน คือสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาโรคหอบหืด คลายความเจ็บปวดที่ข้อต่อ ส่วนออริกาโนก็มีสรรพคุณในการยับยั้งแบคทีเรียด้วยเช่นกัน
แต่ในวิถีชีวิตที่เร่งรีบปานจรวด คุณอาจกำลังมองหาวิธีที่สะดวกในการรวบรวมคุณประโยชน์อันหลากหลายมาไว้ในหนึ่งเดียวอย่างการรับประทานอาหารเสริม ถ้าหากรับประทานออริกาโนที่โรยหน้าพิซซ่าแล้วอาจไม่เห็นผลอย่างแน่นอน วันนี้เราจะมาแนะนำสูตรในการชงชาจากสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดที่ไม่ยากเลย และยังได้รับประโยชน์จากสมุนไพรเต็มๆ

    ขมิ้นชัน
ขมิ้นชันมีสรรพคุณในการยับยั้งการอักเสบ และผลการศึกษายังยืนยันให้เห็นว่ามันสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคไขข้ออักเสบ และโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ขมิ้นชันยังมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ที่ป่วยจากภาวะเส้นเอ็นอักเสบ ในบางครั้งการอักเสบอาจนำคุณไปสู่ภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งเจ้าขมิ้นชันก็มีฤทธิ์ในการช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด และหัวใจได้
ขมิ้นชันต่างจากเครื่องเทศชนิดอื่น คุณควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะควบคู่กับอาหาร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากรัฐแคลิฟอร์เนียได้กล่าวว่า “คุณควรบริโภคขมิ้นเพียงหยิบมือเท่านั้น หรือประมาณ 4 กรัมหากคุณต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริม”
คำเตือน : เนื่องจากขมิ้นมีประสิทธิภาพในการล้างความสะอาดเลือดได้ดีเยี่ยม คุณจึงควรรับประทานในปริมาณพอเหมาะ ไม่มากเกินไปก็จะดีกับสุขภาพอย่างแน่นอน

    ขิง
ขิงคือสมุนไพรที่เชื่อว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้ รวมไปถึงอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากเคมีบำบัดและอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์ การศึกษาวิจัยจำนานมากได้ให้คำแนะนำว่าขิงนั้นมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาแก้คลื่นไส้อาเจียน เมื่อคุณคลื่นไส้จากการเมารถ หรือเมาเรือ
ในการบรรเทาอาการเมารถ เมาเรือต่างๆ คุณควรรับประทานยาแก้อาเจียนหรือคลื่นไส้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง หากเป็นทริปที่ใช้เวลานาน ควรรับประทานยาทุกๆ สี่ชั่วโมงจนถึงที่หมายปลายทาง นอกเหนือจากยาแล้ว คุณยังสามารถเตรียมน้ำขิงสำหรับดื่มแก้คลื่นไส้ได้เช่นเดียวกัน เพียงต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่ขิงจำนวน 1 กรัมลงไปในน้ำร้อน รอให้รสชาติเผ็ดร้อนจากขิงผสมกับน้ำจนเข้ากันประมาณ 15 นาที สามารถดื่มได้วันละ 1-3 ครั้ง
     คำเตือน : ควรรับประทานขิงควบคู่กับอาหารอื่นๆ ในกลุ่มผู้ที่มีอาการแสบร้อนกลางอก หรือจุกเสียดแน่นท้อง และในกลุ่มสตรีมีครรภ์ ไม่ควรบริโภคขิงเกิน 2 กรัมต่อวัน

    กระเทียม
รู้หรือไม่ว่ากระเทียมหนึ่งหัวนั้นมีคุณประโยชน์อุดมอยู่มากมาย กลิ่นหอมและรสชาติที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนของมันนั้นมีประโยชน์อย่างมากต่อสุขภาพหัวใจ
Mark Blumenthal ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Texas-based American Botanical Council ได้กล่าวว่าเมื่อผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวบริโภคกระเทียม มันสามารถกำจัดคราบพลัคที่เกาะหลอดเลือดแดงได้อย่างรวดเร็ว เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า “กระเทียมสามารถกำจัด Low Density Lipoprotein หรือไขมันชนิดไม่ดี และช่วยผลิตไขมันดี หรือ High Density Lipoprotein ให้มีปริมาณมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันโลหิต และภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด ซึ่งนั่นหมายความว่าโอกาสที่ไขมันจะไปอุดตันเส้นเลือดมีน้อยลงหากคราบพลัคมีปริมาณลดลง
หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมต่อสุขภาพหลอดเลือดแดง ปริมาณที่แนะนำในการรับประทานกระเทียมคือ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทาน 3 เวลาเป็นประจำทุกวัน
คำเตือน : กระเทียมสามารถลดปริมาณเลือดในร่างกายของคุณได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ควรรับประทานกระเทียมเพื่อเป็นอาหารเสริมควบคู่แอสไพริน James Snow ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาด้วยพฤกษศาสตร์แห่ง the Tai Sophia Institute in Laurel, Maryland ยังให้คำแนะนำอีกว่าไม่ควรรับประทานกระเทียมก่อนเข้ารับการผ่าตัดใดๆ เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์

    เปปเปอร์มิ้นต์ หรือ สะระแหน่
สะระแหน่ คือสุมนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ในรูปแบบแคปซูล ยังมีประสิทธิภาพในการช่วยรักษาโรคลำไส้แปรปรวน หรือ irritable bowel syndrome (IBS)
เมื่อคุณรับประทานแคปซูลดังกล่าวให้ลงไปสู่ท้องและลำไส้ เจ้าแคปซูลสะระแหน่จะมีประสิทธิภาพในการคลายการขดเกร็งของกล้ามเนื้อ และยังช่วยป้องกันโรคท้องผูกท้องร่วง
ในกรณีของที่คุณปวดท้องบ่อยๆ ลองดื่มชาสะระแหน่ดูก็จะช่วยบรรเทาอาการกังกล่าวได้ดี หากเป็นโรคลำไส้แปรปรวนที่คุณอาจมีอาการปวดท้องบ่อยๆ ควรทานแคปซูลน้ำมันสะระแหน่วันละ 1-3 ครั้งกับน้ำดื่มในปริมาณพอเหมาะ ก่อนรับประทานอาหาร
     คำเตือน : สะระแหน่อาจก่อให้เกิดอาการจุกเสียดแน่นท้องและกรดไหลย้อนในบางกรณี หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานนะคะ

    ออริกาโน
เหล่านักวิทยาศาสตร์ให้การยืนยันว่า น้ำมันสะกัดจากออริกาโน สามารถรักษาการติดเชื้อได้ เนื่องจากในออริกาโนมีส่วนประกอบของ คาร์วาครอล (Carvacrol) และ ไธมอล (Thymol) ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านและกำจัดแบคทีเรียชนิดต่างๆ David Bunting ผู้อำนวยการแห่ง botanical and regulatory affairs at Herb Pharm in Williams, Oregon อธิบายว่า “ออริกาโนมีประโยชน์ต่อคนที่มักจะเป็นโรคท้องร่วง สามารถนำไปใช้รักษาการติดเชื้อจากทางเดินระบบหายใจได้ ทว่าสมุนไพรชนิดนี้ใช้ได้ผลเป็นอย่างดีกับอาการป่วยระยะสั้น เช่น ไข้หวัด และ ไอ หากภายในสองสามวันอาการยังไม่ดีขึ้น และมีไข้สูงก็ควรไปพบแพทย์จะดีกว่า”
น้ำมันหอมระเหยคือรูปแบบของการบำบัดที่คุณมักจะนึกถึง แต่หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม มันก็อาจจะเผาไหม้ปากและอวัยวะที่สำคัญของคุณได้ ดังนั้นควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน และสารสกัดจากออริกาโน ปริมาณของน้ำมันที่ใช้ควรขึ้นอยู่กับน้ำหนักผู้ป่วยและอาการ นอกจากนี้ยังควรรับประทานควบคู่กับน้ำดื่มให้มากๆ

    เสจ
ผู้เชียวชาญการรักษาโรคด้วยสมุนไพรพื้นบ้านได้จัดให้ ต้นเสจ (Sage) เป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงสมอง ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ยังได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มที่รับประทานแคปซูลน้ำมันสกัดจากต้นเสจมีพัฒนาการทางความจำดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทาน
สมุนไพรชนิดนี้มีส่วนประกอบที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งและช่วยรักษาผู้ป่วยที่สูญเสียความจำจากโรคอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ เสจ ยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค มันจึงเป็นยารักษาทางธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ เพียงน้ำมันสกัดจากต้นเสจมาต้มพร้อมกับน้ำอุ่นๆ เพื่อดื่มเป็นชารักษาอาการเจ็บคอ แต่ในกรณีของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์และผู้ที่ต้องการบำรุงสมอง ควรดื่มชาชนิดนี้ 2-3 ครั้งต่อวัน
   คำเตือน : คุณสามารถรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ได้เป็นปกติ แต่ไม่ควรบริโภคในปริมาณที่มากเกินไปและไม่ควรบริโภคในระยะยาว มิฉะนั้นอาจเกิดอาการชักได้
เห็นไหมคะว่า นอกจากคุณประโยชน์ที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงให้กับคุณแล้ว สมุนไพรทั้ง 6 ชนิดนี้ก็ยังมีโทษเช่นกันหากบริโภคในปริมาณมากเกินไป ทางที่ดีควรรับประทานในปริมาณพอเหมาะ พึงระลึกเสมอว่าสุขภาพที่ดีต้องใช้เวลาและความขยันหมั่นเพียร หากใจร้อนเกินไปคุณอาจได้รับผลร้ายมากกว่าผลเสีย

Source : www.justnaturallyhealthy.com