อันที่จริง ฝ้าและรอยด่างดำบนใบหน้ามันจะมีขอบเขตจำกัดของมันอยู่
ตามหลักการแพทย์ก็มีอย่างเดียว เพราะฝ้านั้นเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนเพศภายในร่างกาย แต่คนไทยเราเรียกว่าฝ้าไปหมด อันที่จริง ถ้าไม่ได้เกิดจากฮอร์โมน เราน่าจะเรียกว่า รอยด่างดำบนใบหน้ามากกว่า เพราะรอยด่างดำบนใบหน้ามันเกิดจากสาเหตุได้มากมาย
ฝ้าจริงๆ มันจะมีลักษณะอย่างนี้ จะมีรอยดำที่หน้าผากและก็มาที่จมูก รอยดำจะแผ่กว้างจากริมจมูกขยายไปตามแก้ม มีรอยดำที่ริมฝีปากด้านบนอวัยวะเพศแคมนอกและในก็มักจะมีสีดำ ถ้าเป็นผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานหัวนมจะดำด้วย
ที่พบบ่อยๆ ก็การตั้งครรภ์ สาเหตุทั้ง 4 นี้ทำให้ฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น
ก็จะเป็นรอยดำบนใบหน้าทั่วไปหรือเฉพาะส่วน แต่จะไม่เกิดแบบฝ้าจริงๆ ทีเดียว นอกจากโรคบาง
รอยด่างดำมักเกิดจาก ถูกแสงแดดมาก เกิดจากแพ้เครื่องสำอาง เกิดจากสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น น้ำมันดิบ น้ำหอม เป็นต้น
ไม่ควรเกี่ยวข้อง ความสกปรกเป็นเรื่องของการทำความสะอาด ฝ้าและรอยด่างดำบนใบหน้า เป็นเรื่องของเซลล์เม็ดสีที่ถูกกระตุ้น
การรักษาฝ้า ต้องรักษาที่สาเหตุ เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฝ้าหรือรอยด่างดำ ควรหาสาเหตุและแก้ที่สาเหตุเป็นการรักษาที่ดีที่สุด ให้พิจารณาดูว่า
ไม่แน่เหมือนกันแล้วแต่บุคคล บางคนตั้งครรภ์ไม่เป็นฝ้าก็มี บางคนลูกออกมา 2 ขวบค่อยหายก็มี บางคนหายหมด บางคนก็ยังเหลืออยู่ อ้อ…ต้องเข้าใจนะครับว่า การเป็นฝ้า บางกรณีเป็นเรื่องปกติของร่างกาย ไม่ใช่ผิดปกติ อย่างเช่นคนตั้งครรภ์ เราต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ เราจะว่าเขาผิดปกติไม่ได้
โดยทั่วๆ ไปจะเป็นมากในอายุประมาณ 35-40 ปี เป็นเพราะฮอร์โมนช่วงนี้มันเปลี่ยนแปลง และเป็นช่วงชีวิตที่ใช้เครื่องสำอางมาก
การเป็นฝ้าก็เหมือนการรักษาโรคต้องใช้เวลา ส่วนมากมักใจร้อนกัน
เนื่องจากฝ้ามันเกิดจากการสร้างเม็ดสีขึ้นมา ยาที่ใช้จะต้องทำลายเม็ดสีเท่านั้น จะต้องไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี ถ้าทำลาย ผิวจะขาวซีดเกิดรอยด่างขึ้นได้ สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าที่เขาใช้กันก็มี ไฮโดรควินโนน และแอมโมนิเอดเต็ด เมอคิวรี่ (Ammoniated Mercury)ตามกฎหมายให้ใช้ 2-2.5 เปอร์เซ็นต์ แต่เท่าที่เคยพบมีคนผสมถึง 6 เปอร์เซ็นต์ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองได้ มียาบางตัวที่มีคนเอามาใช้คือ โมโนเบนซิล ไฮโดรควินโนน (Monobenzyl hydroquinone) ยานี้ทำลายเม็ดสี เซลล์ไม่ทำงาน หน้าจะขาววอกจนหน้าเกลียด มีบางคนใช้ยาที่มีสาร ซาลิซัยลิคแอซิด (Salicylic acid) ทำให้หน้าเป็นขุย ยิ่งบางคนใช้ยานี้ไปขัดหน้า เมื่อเซลล์เรามีหลายชั้น พอหน้าเป็นขุยออกไป เม็ดสีก็ออกไปด้วย แต่อาจมีปัญหาตามมาทีหลัง
เรามีวิธีดูระดับของเม็ดสี ถ้ารอยฝ้าหรือด่างดำเป็นเม็ดสีน้ำตาล แสดงว่าเม็ดสีมันอยู่ในเซลล์ที่ผิวหนัง จะรักษาง่าย ถ้าเห็นลักษณะสีเทานิดๆ หรือค่อนข้างสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาคล้ายๆ สีน้ำเงิน พวกนี้รักษายาก เพราะเม็ดสีมันอยู่ลึก บางทีมันตกอยู่ข้างล่าง เวลารักษาเราจะรักษาเฉพาะเม็ดสีข้างบน เม็ดสีข้างล่างต้องรอเวลาให้เม็ดมันผ่านเข้าไปในน้ำเหลืองแล้วมันจะหายไปโดยร่างกายจะขับออกไปเอง
การขัดหน้าเพียงแต่ลอกเซลล์ผิวๆ ข้างนอกออก ดังนั้นต้องทำเบาๆ อย่างนุ่มนวล ถ้าหากทำแรงจะเกิดผลเสีย จะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้ทำงานมากขึ้น หน้ากลับดำมากขึ้นด้วยซ้ำ
ที่เราเจอก็มีอาการคัน ผื่นแดง เป็นน้ำเหลือง หน้าเปรอะมาก็มี เราจะรักษาให้หายจากการอักเสบเนื่องจากการแพ้ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่าเรื่องหน้าดำหรือขาว สำหรับจะให้หน้าสวยเหมือนเก่านี้ยาก กินเวลา เพราะเมื่อเสียไปแล้วมันย่อมลำบากในการรักษาควรถือหลักไว้อย่างหนึ่งว่า หน้าเรามีราคาแพง ดังนั้นควรระมัดระวังที่จะใช้อะไรกับหน้า การแพ้ยานั้น ก่อนใช้เราอาจจะทดลองยาก่อนได้ โดยใช้ยาทาที่บริเวณต้นแขนดู ทาทิ้งไว้สัก 2-3 วัน อย่าล้างออก ดูว่ามีผื่นแดงเกิดขึ้นหรือเปล่า ถ้ามีก็อย่าใช้ ถ้าไม่มีก็พอจะใช้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยนะ พอใช้ได้เท่านั้น
การรักษาฝ้าไม่ใช่ใช้ยาอย่างเดียว การพักผ่อนร่างกายพอควร อาหารพอดี และไม่ถูกแดดมากเกินไป ก็จะมีส่วนควบคุม ทำให้รักษาฝ้าหรือรอยด่างดำได้ดีขึ้น |