ถอดรหัสผล PISA2015 พบเด็ก “ด้อยโอกาส – ยากจน” 3 หมื่นคน มีคะแนนสูงระดับโลก แต่มีความคาดหวังอาชีพตัวเองน้อย ทำหลุดระบบการศึกษา สูญเสียคนเก่งระดับหัวกะทิ จี้รัฐค้นหาเด็กช้างเผือกจากกลุ่มยากจน สนับสนุนการศึกษา ช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค นักวิจัยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในงานแถลงข่าว “ถอดรหัสผล PISA 2015 เด็กด้อยโอกาส – ยากจน ความหวังที่คาดไม่ถึง สู่เป้าหมาย Thailand 4.0” จัดโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่ งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับ ธนาคารโลก (World Bank) ว่า จากการวิเคราะห์คะแนน PISA 2015 จากเกณฑ์ชี้วัดตัวหนึ่งของ OECD ที่เรียกว่า Resilient Student หรือเด็กกลุ่ม “ช้างเผือก” ที่พบว่ามีเด็กจำนวน 30,300 คน ที่สามารถเอาชนะโชคชะตาของตนเองได้ แม้จะมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมยากจนที่สุดของประเทศ แต่สามารถทำคะแนนสอบได้สูงที่สุดในกลุ่ม 25% สูงสุดของโลก ผลประเมินเชิงลึกของ OECD พบว่า เด็กกลุ่มนี้มีทักษะการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง ในยุค 4.0 มากกว่านักเรียนที่อยู่ในกลุ่มฐานะเศรษฐกิจสังคมเดียวกัน ถึง 3 ปีครึ่ง มากกว่านักเรียนกลุ่มเฉลี่ยของประเทศถึงเกือบ 3 ปี
|
|
“หัวใจสำคัญของการค้นพบนี้อยู่ที่การค้นหาคำตอบว่า ปัจจัยใดบ้างที่ส่งเสริมให้ เด็กช้างเผือกสามารถก้าวข้ามข้อ จำกัดเรื่องฐานะและโอกาสทางการศึกษา มาเป็นกลุ่มนักเรียนที่มีคะแนนสอบ PISA สูงในระดับโลกได้ แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ เราค้นพบคือบทบาทของครู โดยจะเห็นว่าครูของเด็กกลุ่มช้างเผือกนั้น จะเป็นครูที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ มีกระบวนทัศน์แบบพระแสวง หรือ Growth Mindset ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและทัศนคติใ นการเรียนรู้ของเด็กมาก และส่งผลต่อคะแนนของเด็กในกลุ่มนี้ด้วย” ดร.ภูมิศรัณย กล่าว
ดร.ภูมิศรัณย์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงจากการศึกษาในครั้งนี้ ก็คือ เด็กจำนวน 30,300 คนนี้กลับมีความคาดหวังกับอาชีพของตัวเองน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้พวกเขาไม่ได้มีโอกาสศึกษาต่อในสาขาอาชีพที่มีความถนัดและต้องการ บางส่วนจบ ม.3 ก็ออกสู่ตลาดแรงงานกลายเป็นผู้ใช้แรงงานด้อยทักษะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับสังคมไทยที่ต้องสูญเสียคนเก่งที่มีศักยภาพไป
ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ ธนาคารโลก กล่าวว่า จากการศึกษาประเทศที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี พบว่าจะต้องมีแรงงานที่อยู่ ในกลุ่มมาตรฐานสูง เพื่อไปทำงานด้านการวิจัยและพัฒ นาจำนวน 7,000 – 8,000 คนต่อ 1 ล้านคน แต่ประเทศไทยมี 1,000 คนต่อ 1 ล้านคนเท่านั้น ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องลงทุนใ นด้านวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษ ย์ให้มากขึ้น จากข้อมูลตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศที่รวยขึ้นมาก มีรายได้สูงขึ้นต่อเนื่องนั้ นไม่มีประเทศไหนที่ไม่ลงทุ นในเรื่องของการวิจัยและพั ฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้น เราจึงต้องลงทุนทั้งเรื่องของการการศึกษา การวิจัยและพัฒนามนุษย์ควบคู่ไป ด้วยกัน เพื่อแรงงานไทยจะมีทักษะและศักยภาพที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม สามารถทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจาก กับดักรายได้ปานกลางและก้าวไปสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 ได้
|
|
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้ช่วยผู้จัดการด้านวิจัยและนโยบาย สสค. กล่าวว่า เด็กที่มีปัญหาด้านการศึกษาของไทยส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุดร้อยละ 40 ของประเทศหรือ Bottom 40% หากรัฐสามารถค้นหาและพัฒนาเด็กกลุ่มช้างเผือกและส่งเสริมปัจจัย บวกทางการเรียนรู้ให้กับเด็กกลุ่มนี้และกลุ่มยากจนคนอื่นๆ ไปพร้อมกัน จะทำให้เรามีแรงงานที่ทั กษะทางด้านวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ในระดับสูง เพิ่มมากขึ้น ตอบโจทย์นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นคอขวดของแรงงานไทยในปัจจุบัน เพราะเรามีประชากรที่มีทักษะและ ศักยภาพขั้นสูงไม่เพียงพอ
“การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุค 4.0 ได้นั้น เราจะต้องพาคนทุกกลุ่มรวมไปถึงคนในกลุ่มนี้ที่มีจำนวนมากกว่า 28 ล้านคนไปให้ได้ โดยจะต้องลดความเหลื่อมล้ำและโอกาสทางการศึกษา ด้วยการปลดล็อกให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพที่ดี ภาคส่วนต่างๆ ต้องเห็นความสำคัญในการพัฒนาศัก ยภาพของเด็กช้างเผือกและคนกลุ่ม Bottom 40% ให้ถึงขีดสุดโดยเฉพาะเรื่องโอกาสทางการศึกษา ทั้งสายอาชีพและสายอุดมศึกษาที่ มีคุณภาพ ไม่เช่นนั้นเราจะสูญเสียโอกาสจากศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวของคนก ลุ่มนี้ไปอย่างมหาศาล ซึ่งการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเ หลือเด็กเยาวชนยากจนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 54 ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่หนึ่งของรัฐบาลที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้ในอนาคต และส่งผลให้ประชากรกลุ่มนี้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีทักษะขั้นสูงได้ ซึ่งหากประเทศไม่ปลดล็อกสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราจะไม่มีวันก้าวไปถึง เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 ได้เลย” ดร.ไกรยส กล่าว
|
|
|