อาหารกับการพัฒนาการทางอารมณ์

อาหารกับการพัฒนาการทางอารมณ์ ช่วง 2 ขวบปีแรกเป็นช่วงที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของสมอง ภาวะโภชนาการของเด็กวัยแรกเกิดถึง 2 ปี จึงมีความสำคัญมาก ปัญหาการกินในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการดูแลสุขภาพเด็ก โดยมักพบว่าเป็นปัญหามากตั้งแต่แรกเกิดถึงวัยอนุบาล ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาการกิน คือ เรื่องของพัฒนาการเด็ก และพื้นฐานอารมณ์ พัฒนาการสะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็ก และสิ่งแวดล้อม ส่วนพื้นฐานทางอารมณ์ หรือพื้นอารมณ์ หมายถึงลักษณะ หรือการแสดงออกของพฤติกรรม จากการศึกษาพบว่าเด็กแรกเกิดแต่ละคนมีพื้นฐานอารมณ์ติดตัวมาแล้ว และแตกต่างกันในเด็กแต่ละคน พื้นฐานอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการกินของเด็ก ได้แก่

  1. ช่วงจังหวะในการกิน การนอนของเด็ก เด็กที่เลี้ยงง่าย มักกิน นอน และหิวเป็นเวลา ทำให้ผู้เลี้ยงสะดวกในการดูแล
  2. ลักษณะการตอบสนองต่อสิ่งใหม่ที่เข้ามา เช่น อาหารใหม่ ของเล่นใหม่ คนแปลกหน้า เด็กที่ถูกเลี้ยงมาดีมักตอบสนองดีต่ออาหารใหม่ ๆ ปรับตัวง่าย

หลักการให้อาหาร

  • เด็กวัยแรกเกิดถึง 1 ปี อาหารหลักของเด็กวัยนี้ คือ นม
  • เด็กอายุแรกเกิดถึง 3 เดือน เด็กที่กินนมแม่อาจกินบ่อยกว่า มักกินทุก 2-3 ชั่วโมง การให้นมแม่บ่อยเกินไป เช่น น้อยกว่าทุก 2 ชั่วโมง กลับจะทำให้การสร้างน้ำนมลดลง ในขณะที่เด็กกินนมผสมจะกินทุก 3-4 ชั่วโมง การให้นมควรสัมพันธ์กับการหิวของเด็ก

โดยปกติเมื่อเด็กหิวจะเกิดความกดดันขึ้น ตามด้วยการร้องไห้ การตอบสนองโดยการให้นมแก่ลูก จะมีลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  1. การให้นมตามความต้องการ หรือความหิวของเด็ก หมายถึง การให้นมเมื่อเด็กหิว และต้องการจริง ๆ การให้นมลักษณะนี้จะช่วยให้เด็กทารกเชื่อมโยง การเข้ามาของแม่กับการทำให้ความหิวลดลง
  2. การให้นมตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ทุก 3-4 ชั่วโมง จะช่วยให้เด็กทารกพยายามปรับช่วงจังหวะของความหิวให้เข้ากับเวลาที่เรากำหนดในเด็กที่ปรัตัวให้เข้ากับเวลาที่กำหนดไม่ได้อาจเป็นเพราะ พื้นฐานอารมณ์ คือ เป็นเด็กที่จังหวะเวลาของการหิวไม่สม่ำเสมอ คือ ช่วงการกินการนอนไม่เป็นเวลานั่นเอง เด็กยังกินไม่อิ่ม เด็กถูกบังคับให้กินทั้งทั้งที่ยังไม่หิว
  3. ให้ตามความพร้อม และความสะดวกของแม่ ไม่สนใจว่าเด็กหิวหรือไม่ และไม่กำหนดช่วงเวลาการให้นมที่แน่นอน ลักษณะการให้นมนี้จะไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าการกินเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ ผลเสียที่ตามมา คือ เด็กจะหงุดหงิดง่าย เลี้ยงยาก และอาจมีปัยหาแหวะนม
  • เด็กอายุ 3-6 เดือน
    • เด็กที่กินนมแม่อาจกินนมแม่หลายครั้ง แ่เด็กที่กินนมผสมมักหลับยาวตลอดคืน
    • เด็กอายุ 4 เดือน มักหลับกลางคืนต่อเนื่องกันได้ 8 ชั่วโมง
    • ภต่ถ้าพ่อแม่ตอบสนองทุกครั้งต่อการตื่นของเด็กด้วยการอุ้ม หรืออาจให้นมกินทุกครั้งที่ร้องจะทำให้เด็กเชื่อมโยงการร้องกับการกินนม
    • เด็กจะตื่นขึ้นมากินนมเวลากลางคืนหลายครั้ง การให้อาหารในช่วงอายุ 1-2 ปี

ข้อควรรู้สำหรับพ่อแม่

  1. อัตราการเจริญเติบโตของเด็กในขวบปีที่สองจะลดลง ความอยากอาหารก็ลดลงด้วย (เด็กอายุ 1 ปีจะมีน้ำหนักประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตอนแรกเกิด แต่กว่าน้ำหนักจะเป็น 4 เท่าอาจถึงอายุ 2 ปี)
  2. ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนกินน้อย แต่ถ้าน้ำหนักของเด็กขึ้นตามปกติ ถือว่าไม่มีปัญหา
  3. อาหารหลักของเด็กวัย 1 ปีขึ้นไป คือ ข้าว อาหาร 5 หมู่ ไม่ใช่นม
  4. ส่วนใหญ่เด็กที่กินแต่นม เช่น 8 ออนซ์ 5-6 มื้อ ไม่ค่อยกินข้าว น้ำหนักมักไม่ขึ้น บางคนน้ำหนักอาจตกเกณฑ์ได้
  5. ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรกินอาหารบางหมู่มากเกินไป เช่น กินแต่ผลไม้ ไม่กินข้าว
  6. พัฒนาการของเด็กวัย 1-2 ปี จะต้องการความเป็นอิสระ และเป็นตัวของตัวเอง ถ้าถูกควบคุม บังคับ โดยเฉพาะเรื่องการกิน เด็กอาจต่อต้าน ในลักษณะปฏิเสธอาหาร
  7. ปัญหาการกินขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ความคาดหวังของพ่อแม่ ไม่เข้ากับความต้องการ หรือพื้นฐานอารมณ์ของเด็ก

สัญญาณของการเริ่มมีปัญหาการกินในเด็ก

  1. อมข้าว
  2. บ้วนคายอาหารทิ้ง
  3. หงุดหงิด ร้องไห้งอแง เมื่อถึงเวลากินอาหาร
  4. เล่นอาหาร ไม่ยอมกิน
  5. ใ้ช้เวลาในการกินอาหารนานผิดปกติ เช่น ใช้เวลากินอาหารเป็นชั่วโมง

ข้อควรปฏิบัติในเด็กที่มีปัญหาการกิน

  1. ถ้าให้นมมากเกินไป ต้องลดนมลง ในเด็กที่มีปัญหาการกินมาก ๆ อาจต้องจำกัดนมไม่ให้เกิน 16 ออนซ์ต่อวัน หรือเท่ากับนม 8 ออนซ์ 2 มื้อ ซึ่งถ้าจำเป็นมักทิ้งมือนมไว้ก่อนนอนกลางวัน และก่อนนอนกลางคืน นมมือกลางคืนอาจขวางอาหารมือเช้า ควรงดนมช่วงกลางคืน โดยเฉพาะนมช่วงเช้ามืด ควรเลิกนมขวดเมื่ออายุ 1 ปี หรือก่อน 2 ปี เด็กที่ดูดขวดนม หลับคาปากจะทำให้ฟันผุ มีปัญหาเกี่ยวกับอาหารตามมา
  2. ทิ้งช่วงห่างระหว่างมื้ออาหาร (นมกับข้าว) อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ควรทำตารางเวลาการให้อาหารไว้ เพื่อสะดวกในการประเมินความเหมาะสมของอาหาร และระยะห่างของอาหารแต่ละมื้อ
  3. งดอาหารหวานทุกชนิด เช่น ขนมถุง ขนมซอง ไอศครีม น้ำอัดลม น้ำหวาน ทอฟฟี่ ชอคโกแลต
  4. เวลากินอาหารควรเป็นบรรยากาศสบาย ๆ ไม่ควรคาดหวังเข้มงด หรือทำให้เด็กรู้สึกเครียด ไม่ควรวิพากษ์ วิจารณ์ ปริมาณอาหารที่เด็กกิน
  5. ไม่ควรดุว่า ลงโทษ แสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ หรือพูดให้เด็กรู้สึกผิด
  6. ฝึกให้เด็กช่วยเหลือตัวเองในการกิน เช่น เด็กอายุ 1 ปีเริ่มจะตักข้าวกินเองได้ โดยยอมให้หกเลอะได้ ไม่ควรป้อน หรือพยายามบังคับให้เด็กกิน หาอาหารซึ่งเด็กสามารถใช้มือหยิบจับกินเองได้สะดวก เช่น น่องไก่ ข้าวเหนียวปั้น เด็กจะรู้สึกสนุกกับการกินมากขึ้น
  7. ตักอาหารน้อย ๆ ในถ้วยหรือจานสำหรับเด็ก ถ้าไม่พอจึงค่อยเติม
  8. ถ้าเด็กไม่กิน หรือเล่นอาหารให้เก็บอาหาร โดยไม่ให้นม หรือขนมอีกเลยจนกว่าจะถึงอาหารมื้อใหม่ ถ้าเด็กหิวก่อนอนุญาตให้กินอาหารเดิม คือมื้อที่เด็กปฏิเสธไป โดยอาจนำมาอุ่นใหม่
  9. ถ้ามื้อนี้กินน้อย มื้อหน้าเด็กจะกินมากขึ้น
  10. กินพร้อมผู้ใหญ่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากอาหาร

ระเบียบวินัยในการกิน

  • เริ่มมืออาหารบนโต๊ะอาหารเสมอ ไม่ควรลุกออกไป เล่นไปกินไป หรือเดินตามป้อน
  • เวลาในการกินอาหารไม่ควรเกิน 20-30 นาที
  • ไม่เปิดโทรทัศน์ ขณะกินอาหาร และไม่ควรเล่นของเล่นบนโต๊ะอาหาร เพระาจะดึงความสนใจเด็ก จากอาหารที่อยู่ตรงหน้า และจะเกิดเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสม

เด็กไม่กินผักเด็กเกลียดผักไม่ชอบกินผัก

  • ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างในการกินผัก
  • ดัดแปลงอาหารให้น่ากิน เช่น โคโรเกะ (อาหารญี่ปุ่น)
  • ให้เด็กมีส่วนร่วมในการไปจ่ายตลาด จัดให้เด็กเอาพืชผักมาแต่งเป็นรูปสัตว์