โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี “การศึกษา” ก็เช่นกัน

       “การศึกษา”อีกหนึ่งการลงทุนที่หวังผลระยะยาว(ถ้ามีความรู้นำมาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้) แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า…แล้วคนหนึ่งคนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสะสมความรู้ ทักษะด้านวิชาการและชีวิตเท่าใด?

จากงานสภาการศึกษาเสวนา ครั้งที่ 20 เรื่อง “ค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการศึกษา : บทเรียนจากประเทศไทยและนานาชาติ” นายณรงค์ แผ้วพลสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวถึงค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)ว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับผิดชอบนักเรียน 6.2 ล้านคน จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยสนับสนุนงบฯ5 รายการ ได้แก่ ค่าจัดการเรียนการสอน,ค่าหนังสือเรียน,ค่าเครื่องแบบนักเรียน,ค่าอุปกรณ์การเรียน,ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ทั้งนี้งบฯจัดการศึกษา ในส่วนของค่าใช้จ่ายรายหัว เป็นอัตราที่ใช้มานาน.

สพฐ.จึงได้ร่วมกับยูนิเซฟและคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์สำรวจการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ลงทุน...เพื่อความรู้

          รศ.ดร.ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นำเสนอเรื่องข้อค้นพบสำคัญที่ได้จากการสำรวจติดตามการใช้จ่ายภาครัฐของโครงการเรียนฟรี 15 ปี ในประเทศไทย ว่า  จากการสำรวจโรงเรียน 250 โรง ครอบคลุม 24 เขตพื้นที่การศึกษา สำรวจความเห็นครูผู้บริหาร 2,463 คน ผู้ปกครอง 2,500 คน พบว่า สพฐ.โอนงบฯโครงการเรียนฟรี 15 ปี ถึงโรงเรียนโดยตรง ซึ่งพบปัญหาการโอนเงินล่าช้า อาทิ งบจัดซื้อหนังสือล่าช้าเฉลี่ยหลังเปิดเรียน 24 วัน ,ร.ร.ในเขตเมืองจ่ายค่าหนังสือสูงกว่า ร.ร.ในชนบทร.ร.มีความล่าช้าในการแจกอุปกรณ์การเรียนประมาณ 37 วันในภาคเรียน2 และ 17 วันในภาคเรียนแรก ,เงินอุดหนุนเครื่องแบบนักเรียนกว่า ร้อยละ 95 แจกเป็นเงินสด และจำนวน 2 ชุดนั้นไม่เพียงพอ ,งบฯด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น ร.ร.จัดได้ไม่ครบและต้องขอเพิ่มจากผู้ปกครอง

         “พบว่าสถานศึกษามีงบฯจากโครงการเรียนฟรี 15 ปี ที่ยังใช้ไม่หมด มากถึงร้อยละ 20 ของเงินที่ได้รับ เมื่อสิ้นปีงบฯที่สองของโครงการ มีมูลค่ารวม 8,200 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ไม่ได้ใช้เงิน อาจเนื่องจากระบบบัญชีโรงเรียนอ่อน ขาดประสบการณ์ในการจัดการทางการเงิน ขณะที่เขตพื้นที่ลงพื้นที่สำรวจโรงเรียน 1 ครั้งต่อปี เท่านั้น”

       นอกจากนั้น ระบบที่ให้สถานศึกษาเป็นผู้ให้ข้อมูลเพื่อรับเงินจัดสรร แต่ขาดกลไกการดูแลที่เหมาะสม ก่อให้เกิดปัญหาด้านจริยธรรมในการทำงาน ขณะที่ระบบสารสนเทศทางการศึกษา ขาดการบูรณาการร่วมกันอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิดปัญหานักเรียนซ้ำซ้อน และเกิดการรั่วไหลของงบประมาณ

ลงทุน...เพื่อความรู้

         สำหรับข้อเสนอแนะนั้น คือ ควรมีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายรายหัวเพิ่มให้สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน จัดสรรเงินให้ถึงตัวเด็กโดยตรง ปรับปรุงวิธีคัดกรองและช่วยเหลือเด้กยากจน ปรับปรุงระบบบัญชี ร.ร. ยกระดับบทบาทและความรับผิดชอบการกำกับดูแลของเขตพื้นที่ และควรให้ข้อมูลเรียนฟรี 15 ปีให้กับครอบครัวนักเรียนมากขึ้น ยกระดับความรับผิดชอบของร.ร. โดยเปิดเผยข้อมูลงบฯและผลการเรียนของเด็กต่อชุมชนและผู้ปกครอง  ซึ่งจะช่วยให้ร.ร. ผู้บริหาร และครูแสดงความรับผิดชอบต่อผลการดำเนินงานมากขึ้น

          ด้าน ดร.รังสรรค์​ มณีเล็ก ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เห็นว่างบฯสำหรับเด็กยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเด็กยากจน แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะได้รับงบฯการศึกษาสูงสุด คิดเป็น 1 ใน 5 ของงบฯแผ่นดิน โดยหวังให้ส่วนกลางจัดสรรเงินให้กับเขตพื้นที่และโรงเรียนโดยตรงมากขึ้น ที่ผ่านมาเราบริหารงานตามกระแส โดยไม่มีงานวิจัยมาสนับสนุน แต่ขณะนี้เรามีนักวิชาการที่ทำวิจัยด้านค่าใช้จ่ายการศึกษาอยู่ในคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา 2 คน มีข้อมูลต่างๆมากมาย คาดหวังว่าภายใน 2 ปีเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง

ที่มา : http://www.komchadluek.net/news/edu-health/288368